วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

My Life

หลังจากได้อ่านบทความแรกไป หลายๆคนคงคิดว่าผู้เขียนคงจะฮึดสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองแน่ๆ แต่คุณคิดผิดค่ะ ผู้เขียนยังคงเฝ้าหาคำตอบว่ามันจริงหรือ มันเป็นอย่างที่เราเห็นใช่ไหม ซึ่งมีหลายข้อสงสัยที่ผู้เขียนนึกคิดอยู่ในใจ สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือ "มันไม่ใช่ตัวเรา"


อย่างที่เคยบอกว่าผู้เขียนไม่ใช่คนชอบแต่งตัว ไม่ใช่แฟชั่นนิสต้าตัวแม่ รู้ไหมคะว่าเพราะอะไร? ใช่ค่ะเพราะผู้เขียนเป็นผู้หญิงอ้วนๆที่มีผิวสีน้ำผึ้งสไตล์หญิงไทยใจงามนั่นเอง นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนสูญเสียความมั่นใจในการแต่งตัว หรือพยายามทำตัวให้สวยเหมือนกับสาวๆทั่วๆไป

ผู้เขียนเคยพยายามที่จะลดน้ำหนักด้วยวิธีต่างๆนาๆ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ยั่งยืนที่สุดก็คือการออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบกับความต้องการของร่างกาย ใช่ค่ะ มันยากมาก ยากจนท้อ หลายครั้งที่ล้มเลิกความคิดนี้เพราะตัวผู้เขียนเองไม่ได้มีเวลามากมาย ชีวิตส่วนมากหมดไปกับการทำงาน ตัวติดเก้าอี้และมือติดคีย์บอร์ดตลอดเวลา


มันไม่ใช่ข้ออ้างเลยจริงๆ แต่เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้เขียนเอง อาชีพของผู้เขียนไม่ได้มีความมั่นคงเหมือนกับพนักงานราชการ หรือพนักงานบริษัทเอกชนทั่วไป เพราะถ้าหากผู้เขียนไม่ทำงานก็จะไม่มีกิน... ถูกต้องค่ะ ผู้เขียนมีอาชีพอิสระ หรือถ้าจะเรียกให้ดูดีหน่อยก็... Freelance นั่นแหละ

หลายคนมองว่า Freelance เป็นอาชีพที่แสนสบาย เพราะจะกิน นอน ไปไหนมาไหน เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ในภาพความเป็นจริงคือมันลำบากนะ หลักๆเลยก็คือต้องพยายามหางานให้ได้เรื่อยๆ ซึ่งมันไม่ได้ง่ายเลย ไม่ใช่ว่าบริษัททุกที่จะต้องการ Sub contact หลายๆบริษัทเลือกที่จะลดต้นทุนโดยการจ้างพนักงานประจำ และแน่นอนถ้าเมื่อไหร่ที่ผู้เขียนหยุดหางาน ก็จะไม่มีเงินใช้


ที่กล่าวมาทั้งหมดคือภาพความเป็นจริงของอาชีพนี้ในปัจจุบัน หลายๆคนโชคดีที่มีลูกค้าประจำ แต่หลายคนก็โชคร้ายที่ต้องคอยหางาน และลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่าจะได้งานหรือไม่ เวลาได้เงินค่าจ้างมาก็ใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่ในสมองก็ยังคิดอยู่ว่าแล้วพรุ่งนี้ล่ะ เดือนต่อไปล่ะ เราจะเอาเงินที่ไหนใช้...

ผู้เขียนกล้าบอกเลยว่าการทำงานทุกๆวันของผู้เขียนมีเพียงเงินหล่อเลี้ยงชีวิตไปวันๆเท่านั้น ไม่ได้มีเงินเก็บเหมือนกับคนอื่นๆ เพราะด้วยภาระต่างๆภายในบ้าน เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ และค่ากิน ค่าของใช้ส่วนตัวอีกมากมาย แค่นั้นก็แทบจะไม่พอกับรายได้ที่เฉลี่ยออกมาเป็นเดือนแล้ว

หลายคนคงตั้งคำถามว่า รู้ว่าเงินไม่พอแล้วทำไมไม่ไปทำงานประจำ มีคนรอบข้างของผู้เขียนถามอยู่บ่อยๆ ผู้เขียนก็ได้แต่ยิ้มแล้วตอบไปว่า... "ขนาดทำอาชีพนี้ได้เงินเท่านี้ยังไม่พอใช้เลย แล้วไปทำงานประจำจะพอได้อย่างไร?" ต้นทุนชีวิตของคนเราไม่เท่ากัน บางคนทำงานได้เงินเดือน 10k แต่มีบ้านของพ่อแม่ ตรงนั้นก็ลดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะแล้ว มันมีเหตุผลร้อยแปดที่คนเรามีไม่เท่าคนอื่น...


เพราะฉะนั้นอย่าพยายามค้นหาคำตอบที่เป็นไปไม่ได้ และอย่าคิดแทนคนอื่นว่าเขาควรจะทำแบบนั้นแบบนี้ ถ้าหาก... เรายังไม่รู้จักเขาดีพอ!

บทความนี้ไม่ใช่การใส่อารมณ์เกรี้ยวกราดของผู้เขียน แต่เป็นความจริงที่ตัวผู้เขียนเองได้ประสบอยู่ในปัจจุบัน จึงได้ทำการบอกเล่าผ่านทางตัวหนังสือ หากถ้อยคำที่ใช้มีความรุนแรงหรือหยาบคายในมุมของผู้อ่าน กรุณาอย่าได้ถือโทษโกรธกันเลยนะคะ

ติดตามอ่านต่อได้ในตอนถัดไปค่ะ :)

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

My Image

เคยรู้สึกกันไหมว่าตั้งแต่จำความได้เราเข้าสังคมได้อย่างไร บางครั้งเราอาจจะลืมไปแล้วว่าเราเข้าหาเพื่อนในสมัยอนุบาลด้วยวิธีไหน ใช่...ตัวผู้เขียนเองก็ไม่สามารถจำได้เหมือนกัน แต่เท่าที่รู้สึกมันเหมือนกับว่า "ยิ่งเราโตขึ้น ภาพลักษณ์ของเราก็ยิ่งสำคัญมากขึ้น"


ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนในช่วงที่ผู้เขียนได้เข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษา แน่นอนว่าต้องมีสังคมใหม่เพราะตัวผู้เขียนเองไม่ได้เรียนที่โรงเรียนเดิม เพื่อนคนแรกในห้องนั้นกลายมาเป็นเพื่อนรักในวันนี้ มันเป็นเรื่องที่ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งอบอุ่นหัวใจจริงๆ ลองนึกถึงเรื่องของตัวเองดูสิว่ามันมีความสุขแค่ไหน...ในอดีต

ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ผู้เขียนได้เข้าสู่วัยทำงานแล้ว จริงๆก็อยู่ในช่วงวัยนี้มานานหลายปีแล้วล่ะ เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาก็มากมาย สามารถทำงานได้ดีในระดับหนึ่ง ยิ่งทำยิ่งพัฒนา ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนยังไม่สามารถก้าวข้ามไปได้...


ผู้เขียนเกิดจากครอบครัวระดับล่างที่พ่อแม่มีอาชีพรับจ้าง ซึ่งส่งผลให้ผู้เขียนได้กลายเป็นคนง่ายๆสบายๆ แต่ขอบอกเลยว่าครอบครัวสอนเรื่องมารยาทมาอย่างดีมาก การวางตัวของผู้เขียนเองถ้าให้ประเมินด้วยตัวเองก็คงต้องบอกว่าดีพอสมควร รู้จักกาลเทศะเป็นอย่างดี แต่แค่นั้นมันไม่พอหรอกจริงไหม?

เพราะหลายครั้งผู้เขียนสังเกตเห็นคู่สนทนาบางคน รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจจะคุยกับผู้เขียนสักเท่าไหร่ หลายครั้งที่พลาดงานไปเพราะสิ่งๆหนึ่งที่ผู้เขียนปฏิเสธมันมาตลอด ใช่! มันคือ "ภาพลักษณ์" ผู้เขียนไม่ใช่คนที่พิถีพิถันกับการแต่งตัวสักเท่าไหร่ หยิบอะไรได้ก็ใส่ๆไป และมีเสื้อผ้าน้อยมากๆ บางครั้งออกไปทานข้าวกับแม่ แม่ยังกุมขมับกับการแต่งตัวของผู้เขียนเลยให้ตายสิ


ครั้งหนึ่ง... มีรุ่นพี่ได้มาแนะนำงานๆหนึ่งให้กับผู้เขียน แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องแต่งตัวให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะในสังคมนั้นมีแต่ระดับเจ้าของกิจการทั้งนั้น ให้ตายเถอะแค่โจทย์ก็แย่แล้ว แล้วจะใส่อะไปล่ะในเมื่อเสื้อผ้าแต่ละชิ้นที่มีมันแย่ๆทั้งนั้น แน่นอนสิ... ก็ต้องซื้อ

ผู้เขียนลงทุนไปเดินช็อปปิ้งหาซื้อเสื้อผ้าเลยนะ แล้วก็ไปเจอชุดที่ต้องการจริงๆด้วย ตอนแรกก็ไม่มั่นใจที่จะใส่มันเท่าไหร่หรอก เพราะมันดูเวอร์มาก(สำหรับผู้เขียนนะ) ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่ชุดกระโปรงสีกรมท่าธรรมดา แต่สำหรับคนไม่ชอบแต่งตัวอย่างผู้เขียนมันดูเวอร์จริงๆนะ แค่นั้นยังไม่พอยังมีรองเท้าส้นสูงอีก โอยยยยยย... มันสวยมาก มันสวยจริงๆนะ เป็นรองเท้าแบบที่ผู้หญิงเขาใส่กันนั่นแหละ คัทชูหัวแหลมมีสายไขว้ไปมา สีบรอนซ์เงิน...(เวอร์วังอลังการไหมล่ะ?)


แล้ววันนัดก็มาถึง ผู้เขียนลงทุนตื่นตี 3 เพื่อที่จะได้ไปเซ็ทผมกับช่างแถวบ้าน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ต้องทำผมเพื่อออกงาน เชื่อไหมว่าหลังจากที่แต่งหน้าทำผมพร้อมสวมชุดที่ซื้อมาใหม่แล้ว มันเหมือนกับเป็นคนละคนเลย มองในกระจกแล้วก็ได้แต่ถามตัวเองว่า... นั่นเราจริงๆเหรอ ทำไมมันสวยอย่างนี้(ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆนะ)

พอไปถึงงานบอกตรงๆว่ารู้สึกประหม่ามาก ไม่ชินกับอะไรแบบนี้เลย อาจจะเพราะเรายังใหม่กับสังคมประเภทนี้ก็ได้ หลายคนมองเราแบบชื่นชม และหลายคนก็ได้เข้ามาทำความรู้จัก ตอนนั้นผู้เขียนรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลกกับเมื่อวานเลย แล้วงานวันนั้นก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทุกคนในงานไม่มีใครแสดงกริยาบางอย่างที่ผู้เขียนเคยพบเจอและไม่ชอบสักคน

และนั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ทำให้ผู้เขียนหันกลับมาส่องกระจกอีกครั้ง พิจารณาตัวเองอีกครั้ง และถามตัวเองอีกครั้งว่า... เราจะเปลี่ยนได้หรือยัง!

ติดตามอ่านต่อได้ในตอนถัดไปค่ะ :)

PS. ภาพทุกภาพเป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น ขอบคุณ Pixabay